วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สาระเกี่ยวกับวันขึ้ปีใหม่

สวัสดีครับทุกท่าน อีกไม่ชั่วโมงแล้วนะครับพวกเราก็จะก้าวเข้าสู้ศักราชใหม่กันแล้ว หรือเรียกกันง่ายๆว่าปีใหม่นั้นเอง ช่วงเวลากี่ความหมายเวลาแห่งความประทับใจที่จะมาถึง แต่หลายคนก็ไม่ปรารถนาของการมาเยือนของปีใหม่ เหตุผลหลักก็คืออายุที่เพิ่ม หรือความชรามาเยือนนั่นเองจะอย่างไรก็ดี หลายๆคนเมื่อพูดถึงปีใหม่ก็คงทราบเพียงว่าการเปลี่ยนศักราชใหม่เท่านั้น แต่ผู้ที่จะทราบความเป็นมาที่แท้จริงก็มีไม่มากนัก รวมไปถึงตัวผมเอง ผมจึงไปค้นคว้าเอาเรื่องราวความเป็นมาของวันปีใหม่ หรือ วันขึ้นปีใหม่มาฝากกัน
ความหมายของวันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า " ปี" ไว้ดังนี้ ปี หมายถึง เวลา ชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ

ความเป็นมา
ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน
การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นในกรุงเทพฯเป็นครั้งแรก
การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆ มา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการจัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์
ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการเป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป
เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ
1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ
2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา
3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก
4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย
กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่
1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ
2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร
3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ
วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตามวันขึ้นปีใหม่ก็เป็นอีกวันที่ดี วันแห่งโอกาสการปรับเปลี่ยน และสร้างแต่สิ่งดี สิ่งไม่ดีก็ปล่อยให้หายไปกับปีเก่าที่ผ่านไปแต่ยังมีกิจกรรมอื่นๆอีกมากมายเช่น การทำบุญตักบาตรและอุทิศส่วนกุศลผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฟังเทศน์

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สัมพันธ์ราชภัฏภาคเหนือ

ในอาทิตย์ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายของเราก็ได้เริ่มต้นในการเป็นเจ้าภาพกีฬามหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือ "เหนือสุดสยามเกมส์" ครั้งที่22 โดยต้อนรับมหาวิทยาลัยราชภัฏ7 จังหวัด ภาคเหนือ ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร และมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 -24 ธันวาคม ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย โดยได้ทำพิธีเปิดกระชับความสัมพันธ์ราชภัฏอย่างยิ่งใหญ่ ผศ.ดร.มาณพ ภาษิตวิไลธรรม อธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย กล่าวว่า เหนือสุดสยามเกมส์ เป็นเกมส์กีฬาของนักเรียน นักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏที่มีมาตั้งแต่อดีต ซึ่งในปีนี้มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ได้รับเกียรติในการเป็นเจ้าภาพครั้งที่ 22 ซึ่งได้มีนักกีฬาจาก 8 มหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือทั้งหมด 1,433 คน ได้ร่วมเข้าแข่งขันกีฬาทั้งหมด 13 ประเภท ซึ่งมีทั้งกีฬาสากล และกีฬาพื้นบ้านของชาวล้านนา ในการแข่งขันกีฬาในครั้งนี้ทางผู้บริหารของมหาวิทยาลัยราชภัฏแต่ละแห่ง ไม่ได้มีความมุ่งหวังที่จะต้องการเอาชนะเพียงอย่างเดียว แต่มุ่งหวังที่ต้องการพัฒนาศักยภาพทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ ให้กับนักศึกษา นักกีฬาแต่ละประเภทให้รู้จักการรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เนื่องจากสังคมปัจจุบันได้ขาดหายสิ่งเหล่านี้ ต้องการเพียงแต่เอาชนะ ลืมคิดถึงสังคมรอบข้าง จึงทำให้เกิดปัญหาในหลายด้าน การแข่งขันกีฬาของเยาวชนก็จะเป็นส่วนหนึ่ง ในการปลูกจิตสำนึก รวมถึงการสร้างมิตรภาพอันดี นักศึกษาและนักกีฬา เพื่อเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันหากจบออกไปจากรั่วมหาวิทยาลัยก็สามารถที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างภาคภูมิ “อย่างไรก็ตามการจัดแข่งขันกีฬา เหนือสุดสยามเกมส์ ก็เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือท้องถิ่นอีกด้านหนึ่ง เนื่องจากทำให้ท้องถิ่นได้มีรายได้จากการจำหน่ายสินค้า ของฝากเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเป็นการถ่ายทอดวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นในการแสดงต่างๆ ในเกมส์กีฬาให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น” ผศ.ดร.มาณพ กล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อลังการงานดอกไม้งาน


ทุกท่านครับในวันี้ผมมีเรื่องรายข่าวสารที่น่าสนใจเยวกับจังหวัดเชียงรายดินแดนแห่งดอกไม้งามมาฝากกัน เนื่องจากสภาพอากาศที่เหมาะกับการปลูกพฤกษานานาพันธุ์ โดยในปีนี้บุคคลผู้รักไม้ดอกทังหลายจะได้พบกับความอลังการของงานดอกไม้งาม ครั้งที่ 6 ที่ยิ่งใหญ่ บริเวณสวนไม้งาม ริมน้ำกก เชิงสะพานเฉลิมพระเกียรติ อำเภอเมืองเชียงราย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สวนไม้งาม ริมกก” และยังมีการจัดงานคู่กับการประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม อีกด้วย
ด้านนาย นายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยถึงการจัดงานเชียงราย ดอกไม้งาม ครั้งที่ 6 ว่า การจัดงานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม ในปีนี้ เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ดำเนินการโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลาย หน่วยงานร่วมกันจัดงานในครั้งนี้ขึ้น ซึ่งจะจัดงานตั้งแต่วันเสารที่ 26 ธันวาคม 2552- วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2553 ณ สวนไม้งาม ริมน้ำกก ถ.เวียงบูรพา เส้นทางไปสนามบินนานาชาติ เชียงราย ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานแห่งใหม่ (จากเดิมจัดขึ้นที่ บริเวณหาดเชียงราย ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย) จะมีพื้นที่กว่า 100 ไร่ มีทางเข้าออกหลายทาง ผู้เข้าชมงานสามารถเดินทางได้ทั้งทางรถและทางเรือ โดยคณะผู้จัดงานได้มีการสร้างท่าเรือไว้ให้เรือมาจอดเทียบท่า แล้วเดินเข้ามาชมงานได้ ทั้งนี้การจัดงานเทศกาลดอกไม้ จะจัดคู่กับการประกวดนางสาวถิ่นไทยงามด้วย
การจัดงานในครั้งนี้ ดำเนินการจัดงานภายใต้คอนเซ็ปต์ “สวนไม้งาม ริมกก” (จัดเป็นสวนเรียบไปกับริมแม่น้ำกก) โดยวันเปิดงานในวันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม นี้ โดยในช่วงเช้าจะมีขบวนรถแห่บุปผาชาติ โดยมี พณฯ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายชวรัตน์ ชาญวีระกุล มาทำพิธีเปิดงาน โดยตลอดระยะเวลาการจัดงานผู้เข้าชมงานสามารถเข้าชมได้ฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น


หากใครที่ชื่นชอบในมนตระการแห่งธรรมชาติผสานวิถีชีวิตของผู้คน พลาดไม่ได้กันงานนี้นอกจากที่ได้ท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายอีกทางหนึ่ง แล้วพบกันที่จังหวัดเชียงรายในวันเวลาที่กำหนดให้ได้นะครับ

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความเป็นมาของวันพ่อแห่งชาติ

คงเป็นที่ทราบกันดีนะครับว่า ในวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีนั้นเป็นวันพ่อแห่งชาติ แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบถึงประวัติความเป็นมาของวันสำคัญดังกล่าว โดยในวันนี้ผมมีประวัติเกี่ยวกับวันพ่อแห่งชาติ มาฝาก ลูกๆทุกท่านเพื่อเป็นของขวัญเนื่องในวันพ่อแห่งชาติครับ
สำหรับวันพ่อแห่งชาติ ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเป็น "วันชาติ" อีกด้วย
โดยมีประวัติความเป็นมาดังนี้ครับ
วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษา หลักการและเหตุผลที่มีการจัดตั้งวันพ่อขึ้นแห่งชาติ เนื่องจากพ่อ เป็นบุคคลผู้มีพระคุณและมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนและตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสังคมควรที่จะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" เพื่อเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะ “พ่อแห่งชาติ” ซึ่งนอกจากพระองค์จะเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงทะนุบำรุงพระราชโอรสธิดาด้วยความรัก และทรงอบรมอนุศาสน์ให้ทรงเจริญวัยสมบูรณ์ ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา อีกทั้งยังทรงบำเพ็ญคุณานุประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ทรงพระมหากรุณาทะนุบำรุงขจัดทุกข์ผดุงสุขพสกนิกรถ้วนหน้า พระองค์ทรงเป็น “พ่อแห่งชาติ” ที่อาณาประชาราษฎร์เทิดทูนด้วยความจงรักภักดี สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และยึดมั่นในการเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการทะนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้วัฒนาถาวรสืบไป

โดยมีวัตถุประสงค์หลายประกาดังต่อไปนี้ครับ
ประการแรกคือ เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ประการที่สองคือ เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม
ประการที่สามคือ เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ
ประการสุดท้ายคือ เพื่อให้ผู้เป็นพ่อ สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน

และได้มีการกำหนดให้ดอกพุทธรักษาสีเหลือง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อขึ้นมาพร้อมกัน คงเพราะด้วยชื่ออันเป็นมงคลของ
คำว่า "พุทธรักษา" ซึ่งหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงปกป้องคุ้มครองให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ซึ่งมีเรียกกันมากว่า 200 ปี และสีเหลืองอันเป็นสีประจำวันพระราชสมภพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของปวงชนชาวไทย การมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อจึงเสมือนกับการบอกถึง ความรักและเคารพบูชาพ่อผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัวโดยมีกิจกรรมในงานต่างๆดังนี้ครับ

กิจกรรมในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในทุกๆ ปี จะมีการประดับธงชาติในทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ราชการ โรงเรียน บริษัท และบ้านเรือน เพื่อถวายพระพรให้พระองค์ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน และยังมีการทำความสะอาดแม่น้ำลำคลอง ถนน โรงพยาบาล และประดับรูปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไว้ที่หน้าบริษัทหรือหน่วยงานต่างๆ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย
กิจกรรมสำหรับลูกในวันพ่อแห่งชาติ คือ ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน จัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ หรือบำเพ็ญกุศล ทำบุญใส่บาตร เพื่ออุทิศส่วนกุศล และระลึกถึงพระคุณของพ่อ
นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมประกาศเกียรติคุณ พ่อตัวอย่าง หรือพ่อดีเด่น โดยกำหนดคุณสมบัติ คือ มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ส่งเสริมการศึกษาของบุตร ธิดา นับถือศาสนาโดยเคร่งครัด งดเว้นอบายมุขทุกชนิด อุทิศตนเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชน และมีภรรยาเพียงคนเดียวอีกด้วย

จะเห็นได้ว่าวันพ่อแห่งชาตินั้นเป็นวันที่ใครหลายๆคนได้แสดงออกถึงความรัก ความกตัญญูแก่คุณพ่อ บุคคลที่ให้ชีวิตเราอีกคนหนึ่ง และเราชาวไทยทุกคนก็มีพ่อคนเดียวกันนั้นก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พ่อหลวงที่คนไทยให้ความเคารพ และรักยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด และในโอกาสวันพ่อนี้เชื่อได้ว่า เราทุกคนจะเป็นลูกที่ดีของพ่อ และเป็นพสกนิกรที่ดีของพ่อหลวงของเรา จากวันนี้และตลอดไปไม่มีวันเสื่อมคลาย


วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เที่ยวหนาวนี้ ที่เชียงราย



หากจะกล่าวถึงดินแดนในฝันที่หลายๆคนต้องการจะไปเยือนนั้น บางคนอาจคิดอยากจะไปเที่ยวในต่างประเทศเช่น สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น เกาหลี โดยที่เราลืมนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเมืองไทย ซึ่งนับว่าเป็นที่ที่น่าท่องเที่ยวไม่แพ้ต่างประเทศเลย ยิ่งในช่วงฤดูหนาวนี้จังหวัดทางภาคเหนือ มีสถานที่ท่องเที่ยว ยังรอให้ทุกคนคนมาสัมผัส โดยเฉพาะดินแดนที่ขนานนามว่า “เหนือสุดแดนสยาม” หรือจังหวัดเชียงราย
วันนี้ผมขอพาทุกคนไปท่องเที่ยวในจังหวัดเขียงราย ซึ่งในยามนี้จังหวัดเชียงรายย่างเข้าฤดูหนาวแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวจึงงดงาม และน่าท่องเทียวมากยิ่งขึ้น ก่อนอื่นเรามารู้จักเชียงรายคร่าวๆก่นก่อน โดยจังหวัดเชียงราย เป็นจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของประเทศไทย สภาพภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนขนาบทั้งด้านฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก โดยมีที่ราบอยู่ตรงกลางเริ่มจากเหนือสุดไล่มาจนถึงจังหวัดพะเยา เทือกเขาฝั่งตะวันตกมี สถานที่ท่องเที่ยว ที่มีชื่อเสียงคือ ดอยแม่สลอง ดอยตุง เทือกเขาฝั่งตะวันออก สถานที่ท่องเที่ยว ที่มีชื่อเสียงคือ ภูชี้ฟ้า เชียงรายเป็นจุดแรกที่แม่น้ำโขงไหลเข้ามายังดินแดนของประเทศไทยคือที่สามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน และไหลออกจากประเทศไทยอีกครั้งในจังหวัดเชียงราย ที่อำเภอเวียงแก่น การไหลมาของแม่น้ำโขงเป็นที่มาของ สถานที่ท่องเที่ยว คือ สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นจุดบรรจบกัน 3 ประเทศคือไทย ลาว พม่า ปัจจุบันเป็น แหล่งท่องเที่ยว ที่น่าสนใจที่มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจไปเที่ยวกันมาก ที่อำเภอเชียงแสน มีสถานที่ท่องเที่ยว ทางโบราณสถานมากมาย และมี ทะเลสาบเชียงแสน เป็น สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และ เป็นแหล่งดูนก ที่น่าสนใจ นอกจากนี้ เชียงรายยังมีแหล่งช็อปปิ้งที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจกันมากคือ แม่สาย เป็น จุดเหนือสุดแดนสยาม ข้ามฝั่งพม่าไปก็จะเป็นแหล่งช็อปปิ้งที่คนไทยชอบข้ามไปเที่ยวคือ ตลาดท่าขี้เหล็ก เป็นจุดดึงดูดนักช็อปปิ้งตลอดปี และหากใครได้มาเที่ยวจังหวัดเชียงรายในช่วงฤดูหนาวนี้ เชื่อได้ว่าทุกคนจะรู้สึกประทับใจไม่รู้ลืม เนื่องจากอากาศไม่ร้อนเหนอะหนะ เย็นสบายกาย และใจสบายด้วย จะทำให้การท่องเที่ยวที่เปี่ยมไปด้วยความสุข อันจะทำให้ทุกๆ คนได้เก็บความรู้สึกและความประทับใจดีๆ ไว้ ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเราเคยสนุกสนาน สูดอากาศที่สดชื่นและยลธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ที่เมืองเชียงราย จังหวัดที่อยู่เหนือสุดแดนสยาม

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เคล็ด (ไม่) ลับ กับการดูแลสุขภาพผิว ในฤดูหนาว



เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว ฤดูกาลที่ใครหลายคนชอบ แต่ด้านหนึ่ง ในเรื่องของการดูแลสุขภาพ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราควรดูแลให้ดี ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพกาย และสุขภาพผิว โดยขณะนี้หลายคนเริ่มมีปัญหาเรื่องของสุขภาพของผิวพรรณ ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้งกร้านทั้งแตกและคัน ขาดความชุ่มชื่น คงต้องหาวิธีมาดูแลผิวเป็นพิเศษกันหน่อยนะครับ ซึ่งเคล็ดลับง่ายๆมีดังนี้ครับ

วิธีแรกควรอาบน้ำเพียงวันละครั้ง ข้อแรกก็ถูกใจคนขี้หนาวเสียจริงๆ แต่ต้องสงวนสิทธิ์เฉพาะคนที่ร่างกายไม่สกปรกหรือเปรอะเปื้อนมากเท่านั้น โดยไม่ควรอาบน้ำที่เย็นจัดหรือร้อนจัดจนเกินไปเพื่อรักษาผิวให้สวยอยู่เสมอตั้งแต่หัวจรดเท้า ในเวลาไม่เกิน 10 นาที จากนั้นเช็ดให้แห้งด้วยผ้าขนหนูและชโลมผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ในขณะที่ผิวยังชุ่มชื้นอยู่ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยถนอมผิวให้นุ่มนวลยิ่งขึ้น ต่อมาคือขณะที่การล้างหน้า ควรใช้น้ำเย็นแทนน้ำร้อนเพราะน้ำร้อนจะทำให้ความชุ่มชื้นของผิวหายไป ไม่ควรเช็ดหน้าแรงๆแค่ซับเบาๆก็พอ เพราะยิ่งถูยิ่งขัดแรงหน้าก็จะลอกมากยิ่งขึ้น ก่อนจะปิดท้ายด้วยการทาโลชั่น ส่วนใครที่มีใบหน้ามันอยู่แล้ว ไม่ควรใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันเพราะจะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดสิวได้ ดูแลผิวหน้าแล้วต้องไม่ลืมดูแลผิวกาย เมื่อลมหนาวมาเยือนอาจทำให้ผิวตามลำตัวของคุณแตกระแหงได้เช่นกัน โดยอาจต้องหมั่นทาครีมบำรุงผิวในบริเวณที่แตกมากกว่าปกติ ก็จะช่วยให้รอยแตกแห้งหายไปในที่สุด วิธีนี้ถึงจะเสียเวลานานสักหน่อยแต่รับรองว่าช้าแต่ชัวร์ สำหรับมือที่แตกและแห้ง ควรพกครีมทามือติดตัวไว้ ก็จะช่วยให้ความชุ่มชื้นและยังทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นด้วย ส่วนผู้ที่มีอาชีพที่มือต้องเปียกน้ำตลอดเวลาจะยิ่งรู้สึกแสบมือมาก อาจมีอาการบวมแดงและแตกได้ ควรป้องกันด้วยการสวมถุงมือยางกันน้ำเวลาซักผ้าหรือล้างชาม ถ้ามีอาการอักเสบอาจต้องใช้ครีมประเภทสเตียรอยด์ชนิดอ่อน ไม่ควรใช้ชนิดแรงเพราะจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้น สุดท้ายคือในส่วนของเส้นผมเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ต้องบำรุงกันเป็นพิเศษในหน้าหนาว การสระผมไม่จำเป็นต้องสระทุกครั้งที่อาบน้ำ เพราะการสระผมด้วยแชมพูสระผมบ่อยเกินควรจะมีผลทำให้ผมแห้งแตกปลายได้ง่าย และทำให้หนังศีรษะแห้งเกินไป ควรใช้แชมพูในปริมาณน้อย ๆ ผมที่แห้งมากควรใช้ครีมหรือน้ำมันบำรุงเส้นผมทาเคลือบที่ปลายผมบางๆ เพื่อลดประจุไฟฟ้าสถิตไม่ให้ผมฟู หรืออาจใช้ครีมนวดผมร่วมกับแชมพูสระผม

เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ผู้ที่รักเรื่องสุขภาพผิวก็จะได้หายห่วงกันสักทีนะครับ อย่างไรก็ตามนอกจากที่เราจะดูแลสุขภาพผิวพรรณแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือควรรักษาสุขภาพร่างกายให้ดีด้วย เพื่อจะได้ปราศจากโรคที่มากับฤดูหนาวได้ และขอให้มีความสุขกับวันนี้ และทุกๆในฤดูหนาวกันนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ดร. ไชยพร ครูดีที่น่าเอาเยี่ยง

เป็นโอกาสแห่งความประทับใจของพวกเราชาวคณะครุศาสตร์ทุกคนที่ได้มีโอกาสเข้ารับการรับฟัง Talk show จากอดีตอาจารย์คณะครุศาสตร์ของเราเองนั่นก็คือ อาจารย์ ดร.ไชยพร ตัณฑ์จิตานนท์ โดยจัดขึ้นในวันที่11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้พวกเราได้ทราบความเป็นตัวตนของท่านและยังทราบถึงเกียรติประวัติ ต่างๆที่ท่านได้ทำมาโดยตลอด
อาจารย์ ดร.ไชยพร ตัณฑ์จิตานนท์ เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะยากจน เป็นบุตรคนสุดท้องของครอบครัว ซึ่งมีพี่น้องรวมทั้งหมด 5 คน ในวัยเด็กท่านต้องทำงานช่วยเหลือครอบครัวแต่ก็ยังไม่ละทิ้งหน้าที่ของการเรียน ซึ่งท่านสามารถสอบได้อันดับ 1 ของห้องทุกครั้ง และได้รับการไว้วางใจของเพื่อนๆให้เป็นหัวหน้าห้องอีกด้วย นอกจากนั้นในขณะที่ท่านกำลังศึกษาในระดับต่างๆ ท่านยังได้ทำกิจกรรมหลายอย่าง อาทิ เช่น การแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ และยังได้เป็นผู้นำในการร้องเพลงชาติของโรงเรียน และใช้ทักษะในการร้องเพลงจนถึงระดับมหาวิทยาลัย หลัง จากที่ท่านได้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้ว ได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกตามลำดับ หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว ท่านได้ทำงานเกี่ยวด้านการศึกษาและได้รับการบรรจุเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ราชภัฏเชียงราย ในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2541 และท่านก็ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับศิษย์คณะครุศาสตร์มาหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย รุ่นแล้วรุ่นเล่าเป็นเวลากว่า 10 ปี และได้เกษียณอายุราชการก่อนกำหนด เพื่อที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวที่จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากที่ท่านได้อุทิศตนในชีวิตราชการบนเส้นทางแห่งการศึกษาเป็นระยะเวลา ยาวนานกว่า 35 ปี โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเป็นที่ทำงานสุดท้าย ที่ท่านได้ทำงานและเป็นสถาบันที่ท่านรักมากที่สุด
จะเห็นได้ว่าท่าน อาจารย์ดร.ไชยพร ตัณฑ์จิตานนท์ นั้นเป็นบุคคลที่เปรียบได้ดังแม่พิมพ์ที่ดี ของบุคคลที่จะเดินทางสายครูแบบพวกเราคณะครุศาสตร์ เพราะตลอดชีวิตของท่านแม้จะลำบากแต่ท่านได้รับการศึกษาที่ดีจึงสามารถยกระดับชีวิตและความเป็นอยู่ให้ดีได้ จากบุคคลที่มีต้นทุนทางสังคมต่ำ แต่กลับเป็นบุคคลที่น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง แม้ท่านบอกไว้เสมอว่า จงเอาท่านเป็นเยี่ยง แต่อย่าเอาอย่าง แต่ผมกลับมองว่าท่านอาจารย์ ดร.ไชยพร ตัณฑ์จิตานนท์นั้น เป็นบุคคลที่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ของบุคคลที่ศึกษาวิชาชีครูแบบพวกเราอย่างแท้จริง….
"ยามลาไกลหัวใจดั่งเหมือนขาดรอน
ขอบัวหลวงงามกลีบซ้้อนคู่เคียงกรเทิดอธิฐาน
ลาเพียงกายแต่ดวงใจแนบในเนานาน
อยู่แดนไหนใดไกลบ้านคิดถึงธารเทิดทูนเหนือใจ"

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ครูในดวงใจ

หากจะมีใครสักคนหนึ่งที่เรารักและอยู่ในดวงใจของเรา ที่ต่อจากคุณพ่อ คุณแม่แล้ว ใครสักคนหนึ่งที่ คอยอบรม และมอบวิชาความรู้ให้กับเรา ยอมเหนื่อย เพื่อเรา โดยที่เขา ไม่เคยหวังสิ่งตอบแทนใดๆ ใครคนนั้นคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้ที่ได้ชื่อว่า “ ครู ”
เมื่อกล่าวถึงครู ก็ทำให้ฉันนึกถึงครูศิลปะคนหนึ่ง ที่คอยทำงานให้กับโรงเรียนในด้านต่างๆ คอยสร้างผลงานให้กับโรงเรียน โดยตลอดมา และยังคงตราตรึงในห้วงสำนึกของฉันเสมอมา ครูผู้นั้นคือครู อัครัช จันแก้ว หรือที่นักเรียนเรียกกันว่าสั้นๆแต่แฝงด้วยความรักว่า ครูบอม จนฉันยกให้ครูผู้นี้เป็นครูในดวงใจเสมอมา
ครูบอม เป็นครูอัตราจ้าง ที่สอนวิชาศิลปะ โรงเรียนแม่สะเรียง “บริพัตรศึกษา” อายุประมาณ 30 ปี โดยจบจากคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดูภายนอกนั้นก็เหมือนครูศิลปะทั่วไป คือชอบอยู่ตามลำพัง พูดจาไม่ค่อยเพราะ แถมยังดุอีกต่างหาก แต่หลังจากที่มีโอกาสได้สัมผัสกับตัวตนที่แท้จริงนั้น คุณครูท่านนี้มีอะไรให้ได้เรียนรู้จากท่านมากมาย เหตุการณ์หนึ่งที่ฉันยังจำได้เสมอคือก่อนวันลอยกระทงในปี 2549 ประมาณ 1 เดือน ฉันได้มีโอกาสมาช่วยทำกระทงใหญ่ของโรงเรียน ตอนนั้นฉันอยู่เพียงชั้น ม.5 จากที่จะมาช่วยงานเล็กๆน้อยๆ ก็ได้ครูท่านนี้ได้สอนในการตัดโฟม การสลักโฟม ซึ่งเป็นงานฝีมือที่ยากขึ้นอีกระดับหนึ่ง และได้ช่วยทำกระทงจนเสร็จสมบูรณ์ หลังจากนั้นผมก็ได้ช่วยงานครูบอมเสมอมา ทั้งงานในโรงเรียนหรือแม้แต่งานที่ทำในนามของโรงเรียนที่ในต่างจังหวัด ทำให้เห็นว่าครูผู้นี้เป็นครูที่มีความเสียสละ มีความอดทน และทำสิ่งต่างๆโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และท่านยังได้ให้คำพูดที่ผมประทับใจว่า “งานศิลปะเป็นงานที่ใช้จิตใจทำ ไม่ใช่ทำด้วยเงิน เงินเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้สร้างงานได้ แต่งานจะออกมาดีนั้น อยู่ที่จิตวิญญาณต่างหาก” เป็นความจริงอย่างที่ท่านพูดจริงๆครับเพราะหากทำงานสักอย่างหนึ่งบางทีทำจนเงินไม่พอ ท่านก็ใช้ส่วนตัวแทน และบางครั้งก็ทำให้เห็นความอดทนของท่าน มีครั้งหนึ่งมีโอกาสไปนำเสนอนิทรรศการผลงานของโรงเรียน ที่จังหวัดพิษณุโลก โดยครูบอมและฉันนั่งอยู่ที่กระบะหลัง ที่ไม่มีอะไรบัง พร้องทั้งอุปกรณ์ที่เตรียมไปจัดนิทรรศการ แน่นเต็มหลังรถ เพราะนั่งข้างหน้าเต็มไปด้วยครูท่านอื่นๆ จากจังหวัดแม่ฮ่องสอนเดินทางสู่จังหวัดพิษณุโลก เป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร ผ่านทั้งเปลวแดด ความหนาวเหน็บ และเปียกของสายฝน แต่ท่านก็ไม่ได้บ่นสักคำ แต่กลับหัวเราะด้วยความสนุกสนาน เมื่อฉันเห็นครูไม่ลำบาก ทำให้ผมไม่ลำบากด้วยเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าเพราะนอกจากที่ท่านได้ให้ความความรู้ที่เป็นศาสตร์แล้ว ท่านยังให้วิชาที่เป็นศิลป์ในการที่ให้ข้อคิด ให้คำปรึกษา ให้ความรักความเมตตากรุณา ชี้นำแนวทางในการดำรงชีวิตมากมาย ทุกคำสอนของครูทุกคำ เป็นแนวทางในการนำมาปฏิบัติได้ผลที่แท้จริง

ขอเรียงร้อยอักษรามามอบให้
แด่คุณครูในดวงใจไทยทั่วหล้า
เป็นแสงเทียนส่องใจให้ปัญญา
ส่องมรรคางามเด่นเห็นเส้นชัย
สังคมดีวันนี้เพราะมีท่าน
ช่วยประสานรอยร้าวคราวหลับใหล
สังคมรู้งานครูหนักสักเพียงใด
ครูก็ไม่ปล่อยวางสร้างสังคม
กราบบูชาอย่างสุดซึ้งถึงคุณท่าน
ตลอดกาลคืนวันได้สั่งสม
คำว่าครูอยู่ในใจได้นิยม
มีคนชมร้อยมาลาบูชาครูฯ

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ปาย เมืองในฝัน สวรรค์บนดอย

สวัสดีครับ ผ่านไปอีกอาทิตย์แล้วนะครับ สำหรับอาทิตย์ของวันลอยกระทง แม้ว่าวันลอยกระทงจะผ่านไป แต่ในวันนี้ผมยังมีควันหลงในวันสำคัญวันนี้มาฝากกันอีกครับ หลังจากที่อาทิตย์ที่แล้วผมได้พูดถึงงานลอยกระทงของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายของเราแล้ว และในวันลอยกระทงในวันที่ 2-4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเที่ยวงานวันลอยกระทงที่อำเภอปาย ดินแดนที่หลายๆคนต่างที่ใฝ่ฝันที่จะได้เที่ยว ได้ยลสักครั้ง
ก่อนอื่นผมขอเล่าถึงประวัติคร่าวๆ ของอำเภอนี้กันสักนิดหนึ่งนะครับ โดยอำเภอปายนั้น เป็นเมืองเก่าแก่ ประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนแห่งนี้มาแต่เดิมคือชาวพ่ายหรือไปร ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษาตระกูลออสโตร-เอเชียติก สาขาว้า-เรียง ดังมีร่องรอยหลักฐานซากวิหารและเจดีย์กระจายอยู่ทั่วไปทั้งบนภูเขาสูง ที่ดอนเชิงเขา บริเวณพื้นราบลุ่มน้ำปาย บางแห่งก่อสร้างด้วยหิน เช่น ในผืนป่าบริเวณใกล้น้ำตกเอิกเกอเต่อ ซึ่งเป็นต้นน้ำแม่ปิงน้อย บางแห่งมีการขุดคูเป็นร่องลึกบนภูเขาสูงชัน มีเจดีย์บนยอดเขา มีหลักฐานว่าเจ้าเมืองคนแรกคือ ขุนส่างปาย ในสมัยพระเจ้ามโหตรประเทศ พระราชาธิบดีเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ส่งเจ้าแก้วเมืองออกสำรวจชายแดน ได้พบว่าภูมิประเทศน่าสนใจ จึงแนะนำให้ขุนส่างปายย้ายเมืองมาตั้งฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปายเพราะเป็นที่ราบกว้างขวาง ผู้คนจึงเรียกเมืองใหม่ว่า "เวียงใต้" ส่วนเมืองเก่าเรียกว่า "เวียงเหนือ"
แม้ว่าอำเภอปายเป็นอำเภอที่อยู่ในดินแดนที่มีที่ตั้งเป็นภูเขาสูง แต่งานประเพณีวันลอยกระทงนั้นมีความคึกคัก บนความเรียบง่ายที่เสน่ห์ของเมืองแห่งนี้ครับ โดยปีนี้ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ให้งบประมาณในการจัดงานและสนับสนุนเงินให้กับหมู่บ้านต่างๆในการทำกระทงและจัดขบวน โดยมีขบวนแห่กระทงประมาณ 10 ขบวน แห่ไปตามถนนสายต่าง ๆ เขตเทศบาลตำบลปายและไปสิ้นสุดที่บริเวณเทศบาลตำบลปาย สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศอยู่ไม่น้อย และในกิจกรรมเวทีกลางแจ้งที่เทศบาลตำบลปาย ยังมีการแสดงต้อนรับนักท่องเที่ยว และมีการประกวดนางนพมาสที่เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ จากงานลอยกระทงที่จัดขึ้น ปรากฏว่านักท่องเที่ยวได้จองห้องพักในพื้นที่อำเภอปาย จำนวน 1,550 ห้องเต็มตั้งวันที่ 2 - 4 พฤศจิกายน 2552 เพื่อเดินทางเข้ามาเที่ยวเทศกาลลอยกระทงที่อำเภอปาย คาดว่ามีเงินสะพัดในช่วงเทศกาลลอยกระทงประมาณ 15 ล้านบาท
จากได้เที่ยววันลอยกระทงที่อำเภอปายที่ผ่านมาเป็นความประทับใจที่ไม่อาจลืมได้ ในรอยยิ้มและน้ำใจ ที่ยังหาได้ในดินแดนที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีผู้คนหลากหลายวัฒนธรรมถึงแม้วันลอยกระทงจะผ่านไปแล้ว ในช่วงหน้าหนาวนี้ปายยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งที่รอการมาเยือนของทุกคน และทำให้ผู้ที่มาเยือนนั้นทราบว่า คำว่า “เมืองในฝัน สวรรค์บนดอย” เหมาะที่จะเลือกอำเภอนี้อย่างแท้จริง

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ลอยกระทง

หลังจากที่ได้เข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายแห่งนี้ ผมได้เรียนรู้ในการใช้ชีวิตมากมาย ทั้งชิวิตการเป็นนักศึกษา ตลอดจนการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆของมหาวิทยาลัยอันเป็นกิจกรรมที่ทำให้เราฝึกการทำงาน ฝึกการคิด ที่ไม่สามารถหาโอกาสเรียนรู้ได้โดยทั่วไป และกิจกรรมหนึ่งที่ผมภาคภูมิใจคือการได้เข้าร่วมทำกระทงใหญ่ ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยร่วมทำกับวิทยาลัยนานาชาติภูมิภาคลุ่มน้ำโขง องค์กรหนึ่งในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายแห่งนี้ เนื่องจากเพื่อนที่สนิทขอให้ไปช่วยออกแบบ และทำกระทง ซึ่งเพื่อนของผมก็เป็นนักศึกษาวิทยาลัยแห่งนี้เอง นักศึกษาที่วิทยาลัยนี้ มีเพียงสามสิบกว่าคนเท่านั้นครับ ในตอนแรกทำให้ผมแทบหมดกำลังใจ แต่เมื่อได้ร่วมงานกันแล้วสิ่งที่ผมคิดไว้ผิดความคาดหมายอย่างสิ้นเชิง เมื่อเห็นถึงความตั้งใจ และความรับผิดชอบของทุกคน ที่พร้อมกันร่วมมือร่วมใจกันทำงานเป็นอย่างดี ภาพนักศึกษาชายที่กำลังทำงานไม้ ตอกตะปู เพื่อทำโครงสร้างของกระทง นักศึกษาหญิงช่วยกันจีบผ้าทำเป็นริ้วสวยงาม ทำกันคนละไม้ละมือจนในที่สุดงานก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี สร้างความภูมิใจให้องค์กร สถาบัน และที่สำคัญที่สุดคือความภูมิใจในตนเองในการสร้างสรรค์ผลงานดังกล่าว

ผู้สนใจที่อยากจะร่วมกิจกรรมวันลอยกระทงของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายก็สามารถที่จะเข้าร่วมได้ ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม ถึง 1 พฤษจิกายน 2552 โดยมีกิจกรรมที่ให้ร่วมสนุกมากมาย อีกทั้งเป็นการสืบสานประเพณีอันดีงามของไทยเรา ในงานมีกิจกรรมการออกงาน และกิจกรรมการแสดงบนเวที และในวันที่ 1 พฤษจิกายน ยังมีการแห่ขบวนกระทงใหญ่ที่สวยงามตระการตา และการประกวดนางนพมาศจากคณะต่างๆที่เป็นจุดเด่นของงาน และอย่าลืมมาบอกกล่าวกันด้วยนะครับว่ากระทงของวิทยาลัยนานาชาติภูมิภาคลุมน้ำโขงที่ผมทำเป็นอย่างไรบ้าง ... ขอบคุณไว้ล่วงหน้าครับ

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บันทึกความทรงจำ (พิพัฒน์ ทองปินตา เรียบเรียง)

สวัสดีครับ ผมนายพิพัฒน์ ทองปินตา ชื่อเล่นแบงค์ เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย รหัสนักศึกษา511166042 วิชาเอกภาษาไทย คณะครุศาสตร์ครับ เป็นคนอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ดินแดนที่เรียกได้ว่าเป็นเมืองแห่งขุนเขาลำเนาไพร ที่แฝงไว้ด้วยเสน่ห์แห่งธรรมชาติ สายธาร ต้นน้ำผืนป่าที่กว้างใหญ่ อากาศที่ใสบริสุทธิ์ ในบรรยากาศของหมอกสามฤดู ซึ่งถูกแต่งแต้มด้วยความเรียบง่ายของผู้คนหลากหลายชนเผ่า ทั้งหมดทั้งมวลผสานกันก่อให้เกิดศิลปะ วัฒนธรรม และในวันนี้ผมอยากจะแนะนำให้รู้จักประเพณีหนึ่งที่สะท้อนความเป็นอำเภอแม่สะเรียงอย่างแท้จริง ประเพณีนี้เรียกว่า ประเพณีออกหว่า
โดยประเพณีออกหว่าหรือประเพณีออกพรรษาเป็นความเชื่อของชาวไทยใหญ่ ที่ว่าในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงจำพรรษาอยู่บนสรวงสวรรค์ และทรงเสด็จลงโปรดสัตว์ให้สรรพสิ่งในโลกมนุษย์รวมไปถึงสัตว์ในโบราณคดี เช่น นกและสิงโต รวมไปถึงสัตว์อื่นๆอีกมากมาย และในคืนแรม 1 ค่ำสัตว์เหล่านี้จะพากันออกมาฟ้อนรำ เปรียบเสมือนเป็นการแสดงความยินดีที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ลงมาเทศนาเพื่อโปรดสัตว์ในโลกมนุษย์ จากอดีตจนถึงปัจจุบันชาวไทยใหญ่ยังคงมีความเชื่อในตำนานนี้ และได้สมมุติให้มีการแสดงเลียนแบบสัตว์ต่างๆในวรรณคดี เช่น การเต้นโต ฟ้อนกิ่งกะหล่า ซึ่งเป็นการแสดงเลียนแบบนกยูง น่าบ้านเรือนก็จะประดับด้วยซุ้ม ประทีปโคมไฟ เป็นความเชื่ออีกหนึ่งความเชื่อที่ว่าเป็นการรับเสด็จพระพุทธเจ้าจากสรวงสวรรค์
ประเพณีออกหว่าหรือประเพณีออกพรรษานี้ เป็นประเพณีที่มีคุณค่าและหาชมได้เพียงแต่อำเภอแม่สะเรียงเท่านั้น นับได้ว่ามีความสำคัญต่อชาวอำเภอแม่สะเรียงเป็นอย่างมาก โดยสะท้อนถึงความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่เรามิอาจทราบได้นะครับว่ากระแสวัฒนธรรมต่างชาติ ที่ไหลบ่าเข้ามาอย่างต่อเนื่องจะทำให้ความมีคุณค่าของประเพณีดังกล่าวนั้น ลดลงและเลือนหายไปจากสังคมของชาวอำเภอแม่สะเรียงหรือไม่คงต้องฝากความหวังไว้กับอารยชนรุ่นหลัง ที่จะร่วมกับสืบสานประเพณีอันดีงามของถิ่น ให้สมกับที่บรรพบุรุษได้ร่วมกันอนุรักษ์มาถึงจนปัจจุบันและให้จารึกไว้คู่คำขวัญของอำเภอแม่สะเรียงที่ว่า “เทียนเหงพร่างตา ผ้าทอกระเหรี่ยง เสนาะเสียงสาละวิน
งานถิ่นธรรมชาติ พระธาตุสี่จอง กล้วยไม้หอมเอื้องแซะ ” ตลอดไป…