วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เคล็ด (ไม่) ลับ กับการดูแลสุขภาพผิว ในฤดูหนาว



เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว ฤดูกาลที่ใครหลายคนชอบ แต่ด้านหนึ่ง ในเรื่องของการดูแลสุขภาพ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราควรดูแลให้ดี ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพกาย และสุขภาพผิว โดยขณะนี้หลายคนเริ่มมีปัญหาเรื่องของสุขภาพของผิวพรรณ ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้งกร้านทั้งแตกและคัน ขาดความชุ่มชื่น คงต้องหาวิธีมาดูแลผิวเป็นพิเศษกันหน่อยนะครับ ซึ่งเคล็ดลับง่ายๆมีดังนี้ครับ

วิธีแรกควรอาบน้ำเพียงวันละครั้ง ข้อแรกก็ถูกใจคนขี้หนาวเสียจริงๆ แต่ต้องสงวนสิทธิ์เฉพาะคนที่ร่างกายไม่สกปรกหรือเปรอะเปื้อนมากเท่านั้น โดยไม่ควรอาบน้ำที่เย็นจัดหรือร้อนจัดจนเกินไปเพื่อรักษาผิวให้สวยอยู่เสมอตั้งแต่หัวจรดเท้า ในเวลาไม่เกิน 10 นาที จากนั้นเช็ดให้แห้งด้วยผ้าขนหนูและชโลมผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ในขณะที่ผิวยังชุ่มชื้นอยู่ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยถนอมผิวให้นุ่มนวลยิ่งขึ้น ต่อมาคือขณะที่การล้างหน้า ควรใช้น้ำเย็นแทนน้ำร้อนเพราะน้ำร้อนจะทำให้ความชุ่มชื้นของผิวหายไป ไม่ควรเช็ดหน้าแรงๆแค่ซับเบาๆก็พอ เพราะยิ่งถูยิ่งขัดแรงหน้าก็จะลอกมากยิ่งขึ้น ก่อนจะปิดท้ายด้วยการทาโลชั่น ส่วนใครที่มีใบหน้ามันอยู่แล้ว ไม่ควรใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันเพราะจะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดสิวได้ ดูแลผิวหน้าแล้วต้องไม่ลืมดูแลผิวกาย เมื่อลมหนาวมาเยือนอาจทำให้ผิวตามลำตัวของคุณแตกระแหงได้เช่นกัน โดยอาจต้องหมั่นทาครีมบำรุงผิวในบริเวณที่แตกมากกว่าปกติ ก็จะช่วยให้รอยแตกแห้งหายไปในที่สุด วิธีนี้ถึงจะเสียเวลานานสักหน่อยแต่รับรองว่าช้าแต่ชัวร์ สำหรับมือที่แตกและแห้ง ควรพกครีมทามือติดตัวไว้ ก็จะช่วยให้ความชุ่มชื้นและยังทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นด้วย ส่วนผู้ที่มีอาชีพที่มือต้องเปียกน้ำตลอดเวลาจะยิ่งรู้สึกแสบมือมาก อาจมีอาการบวมแดงและแตกได้ ควรป้องกันด้วยการสวมถุงมือยางกันน้ำเวลาซักผ้าหรือล้างชาม ถ้ามีอาการอักเสบอาจต้องใช้ครีมประเภทสเตียรอยด์ชนิดอ่อน ไม่ควรใช้ชนิดแรงเพราะจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้น สุดท้ายคือในส่วนของเส้นผมเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ต้องบำรุงกันเป็นพิเศษในหน้าหนาว การสระผมไม่จำเป็นต้องสระทุกครั้งที่อาบน้ำ เพราะการสระผมด้วยแชมพูสระผมบ่อยเกินควรจะมีผลทำให้ผมแห้งแตกปลายได้ง่าย และทำให้หนังศีรษะแห้งเกินไป ควรใช้แชมพูในปริมาณน้อย ๆ ผมที่แห้งมากควรใช้ครีมหรือน้ำมันบำรุงเส้นผมทาเคลือบที่ปลายผมบางๆ เพื่อลดประจุไฟฟ้าสถิตไม่ให้ผมฟู หรืออาจใช้ครีมนวดผมร่วมกับแชมพูสระผม

เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ผู้ที่รักเรื่องสุขภาพผิวก็จะได้หายห่วงกันสักทีนะครับ อย่างไรก็ตามนอกจากที่เราจะดูแลสุขภาพผิวพรรณแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือควรรักษาสุขภาพร่างกายให้ดีด้วย เพื่อจะได้ปราศจากโรคที่มากับฤดูหนาวได้ และขอให้มีความสุขกับวันนี้ และทุกๆในฤดูหนาวกันนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ดร. ไชยพร ครูดีที่น่าเอาเยี่ยง

เป็นโอกาสแห่งความประทับใจของพวกเราชาวคณะครุศาสตร์ทุกคนที่ได้มีโอกาสเข้ารับการรับฟัง Talk show จากอดีตอาจารย์คณะครุศาสตร์ของเราเองนั่นก็คือ อาจารย์ ดร.ไชยพร ตัณฑ์จิตานนท์ โดยจัดขึ้นในวันที่11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้พวกเราได้ทราบความเป็นตัวตนของท่านและยังทราบถึงเกียรติประวัติ ต่างๆที่ท่านได้ทำมาโดยตลอด
อาจารย์ ดร.ไชยพร ตัณฑ์จิตานนท์ เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะยากจน เป็นบุตรคนสุดท้องของครอบครัว ซึ่งมีพี่น้องรวมทั้งหมด 5 คน ในวัยเด็กท่านต้องทำงานช่วยเหลือครอบครัวแต่ก็ยังไม่ละทิ้งหน้าที่ของการเรียน ซึ่งท่านสามารถสอบได้อันดับ 1 ของห้องทุกครั้ง และได้รับการไว้วางใจของเพื่อนๆให้เป็นหัวหน้าห้องอีกด้วย นอกจากนั้นในขณะที่ท่านกำลังศึกษาในระดับต่างๆ ท่านยังได้ทำกิจกรรมหลายอย่าง อาทิ เช่น การแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ และยังได้เป็นผู้นำในการร้องเพลงชาติของโรงเรียน และใช้ทักษะในการร้องเพลงจนถึงระดับมหาวิทยาลัย หลัง จากที่ท่านได้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้ว ได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกตามลำดับ หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว ท่านได้ทำงานเกี่ยวด้านการศึกษาและได้รับการบรรจุเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ราชภัฏเชียงราย ในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2541 และท่านก็ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับศิษย์คณะครุศาสตร์มาหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย รุ่นแล้วรุ่นเล่าเป็นเวลากว่า 10 ปี และได้เกษียณอายุราชการก่อนกำหนด เพื่อที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวที่จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากที่ท่านได้อุทิศตนในชีวิตราชการบนเส้นทางแห่งการศึกษาเป็นระยะเวลา ยาวนานกว่า 35 ปี โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเป็นที่ทำงานสุดท้าย ที่ท่านได้ทำงานและเป็นสถาบันที่ท่านรักมากที่สุด
จะเห็นได้ว่าท่าน อาจารย์ดร.ไชยพร ตัณฑ์จิตานนท์ นั้นเป็นบุคคลที่เปรียบได้ดังแม่พิมพ์ที่ดี ของบุคคลที่จะเดินทางสายครูแบบพวกเราคณะครุศาสตร์ เพราะตลอดชีวิตของท่านแม้จะลำบากแต่ท่านได้รับการศึกษาที่ดีจึงสามารถยกระดับชีวิตและความเป็นอยู่ให้ดีได้ จากบุคคลที่มีต้นทุนทางสังคมต่ำ แต่กลับเป็นบุคคลที่น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง แม้ท่านบอกไว้เสมอว่า จงเอาท่านเป็นเยี่ยง แต่อย่าเอาอย่าง แต่ผมกลับมองว่าท่านอาจารย์ ดร.ไชยพร ตัณฑ์จิตานนท์นั้น เป็นบุคคลที่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ของบุคคลที่ศึกษาวิชาชีครูแบบพวกเราอย่างแท้จริง….
"ยามลาไกลหัวใจดั่งเหมือนขาดรอน
ขอบัวหลวงงามกลีบซ้้อนคู่เคียงกรเทิดอธิฐาน
ลาเพียงกายแต่ดวงใจแนบในเนานาน
อยู่แดนไหนใดไกลบ้านคิดถึงธารเทิดทูนเหนือใจ"

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ครูในดวงใจ

หากจะมีใครสักคนหนึ่งที่เรารักและอยู่ในดวงใจของเรา ที่ต่อจากคุณพ่อ คุณแม่แล้ว ใครสักคนหนึ่งที่ คอยอบรม และมอบวิชาความรู้ให้กับเรา ยอมเหนื่อย เพื่อเรา โดยที่เขา ไม่เคยหวังสิ่งตอบแทนใดๆ ใครคนนั้นคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้ที่ได้ชื่อว่า “ ครู ”
เมื่อกล่าวถึงครู ก็ทำให้ฉันนึกถึงครูศิลปะคนหนึ่ง ที่คอยทำงานให้กับโรงเรียนในด้านต่างๆ คอยสร้างผลงานให้กับโรงเรียน โดยตลอดมา และยังคงตราตรึงในห้วงสำนึกของฉันเสมอมา ครูผู้นั้นคือครู อัครัช จันแก้ว หรือที่นักเรียนเรียกกันว่าสั้นๆแต่แฝงด้วยความรักว่า ครูบอม จนฉันยกให้ครูผู้นี้เป็นครูในดวงใจเสมอมา
ครูบอม เป็นครูอัตราจ้าง ที่สอนวิชาศิลปะ โรงเรียนแม่สะเรียง “บริพัตรศึกษา” อายุประมาณ 30 ปี โดยจบจากคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดูภายนอกนั้นก็เหมือนครูศิลปะทั่วไป คือชอบอยู่ตามลำพัง พูดจาไม่ค่อยเพราะ แถมยังดุอีกต่างหาก แต่หลังจากที่มีโอกาสได้สัมผัสกับตัวตนที่แท้จริงนั้น คุณครูท่านนี้มีอะไรให้ได้เรียนรู้จากท่านมากมาย เหตุการณ์หนึ่งที่ฉันยังจำได้เสมอคือก่อนวันลอยกระทงในปี 2549 ประมาณ 1 เดือน ฉันได้มีโอกาสมาช่วยทำกระทงใหญ่ของโรงเรียน ตอนนั้นฉันอยู่เพียงชั้น ม.5 จากที่จะมาช่วยงานเล็กๆน้อยๆ ก็ได้ครูท่านนี้ได้สอนในการตัดโฟม การสลักโฟม ซึ่งเป็นงานฝีมือที่ยากขึ้นอีกระดับหนึ่ง และได้ช่วยทำกระทงจนเสร็จสมบูรณ์ หลังจากนั้นผมก็ได้ช่วยงานครูบอมเสมอมา ทั้งงานในโรงเรียนหรือแม้แต่งานที่ทำในนามของโรงเรียนที่ในต่างจังหวัด ทำให้เห็นว่าครูผู้นี้เป็นครูที่มีความเสียสละ มีความอดทน และทำสิ่งต่างๆโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และท่านยังได้ให้คำพูดที่ผมประทับใจว่า “งานศิลปะเป็นงานที่ใช้จิตใจทำ ไม่ใช่ทำด้วยเงิน เงินเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้สร้างงานได้ แต่งานจะออกมาดีนั้น อยู่ที่จิตวิญญาณต่างหาก” เป็นความจริงอย่างที่ท่านพูดจริงๆครับเพราะหากทำงานสักอย่างหนึ่งบางทีทำจนเงินไม่พอ ท่านก็ใช้ส่วนตัวแทน และบางครั้งก็ทำให้เห็นความอดทนของท่าน มีครั้งหนึ่งมีโอกาสไปนำเสนอนิทรรศการผลงานของโรงเรียน ที่จังหวัดพิษณุโลก โดยครูบอมและฉันนั่งอยู่ที่กระบะหลัง ที่ไม่มีอะไรบัง พร้องทั้งอุปกรณ์ที่เตรียมไปจัดนิทรรศการ แน่นเต็มหลังรถ เพราะนั่งข้างหน้าเต็มไปด้วยครูท่านอื่นๆ จากจังหวัดแม่ฮ่องสอนเดินทางสู่จังหวัดพิษณุโลก เป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร ผ่านทั้งเปลวแดด ความหนาวเหน็บ และเปียกของสายฝน แต่ท่านก็ไม่ได้บ่นสักคำ แต่กลับหัวเราะด้วยความสนุกสนาน เมื่อฉันเห็นครูไม่ลำบาก ทำให้ผมไม่ลำบากด้วยเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าเพราะนอกจากที่ท่านได้ให้ความความรู้ที่เป็นศาสตร์แล้ว ท่านยังให้วิชาที่เป็นศิลป์ในการที่ให้ข้อคิด ให้คำปรึกษา ให้ความรักความเมตตากรุณา ชี้นำแนวทางในการดำรงชีวิตมากมาย ทุกคำสอนของครูทุกคำ เป็นแนวทางในการนำมาปฏิบัติได้ผลที่แท้จริง

ขอเรียงร้อยอักษรามามอบให้
แด่คุณครูในดวงใจไทยทั่วหล้า
เป็นแสงเทียนส่องใจให้ปัญญา
ส่องมรรคางามเด่นเห็นเส้นชัย
สังคมดีวันนี้เพราะมีท่าน
ช่วยประสานรอยร้าวคราวหลับใหล
สังคมรู้งานครูหนักสักเพียงใด
ครูก็ไม่ปล่อยวางสร้างสังคม
กราบบูชาอย่างสุดซึ้งถึงคุณท่าน
ตลอดกาลคืนวันได้สั่งสม
คำว่าครูอยู่ในใจได้นิยม
มีคนชมร้อยมาลาบูชาครูฯ

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ปาย เมืองในฝัน สวรรค์บนดอย

สวัสดีครับ ผ่านไปอีกอาทิตย์แล้วนะครับ สำหรับอาทิตย์ของวันลอยกระทง แม้ว่าวันลอยกระทงจะผ่านไป แต่ในวันนี้ผมยังมีควันหลงในวันสำคัญวันนี้มาฝากกันอีกครับ หลังจากที่อาทิตย์ที่แล้วผมได้พูดถึงงานลอยกระทงของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายของเราแล้ว และในวันลอยกระทงในวันที่ 2-4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเที่ยวงานวันลอยกระทงที่อำเภอปาย ดินแดนที่หลายๆคนต่างที่ใฝ่ฝันที่จะได้เที่ยว ได้ยลสักครั้ง
ก่อนอื่นผมขอเล่าถึงประวัติคร่าวๆ ของอำเภอนี้กันสักนิดหนึ่งนะครับ โดยอำเภอปายนั้น เป็นเมืองเก่าแก่ ประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนแห่งนี้มาแต่เดิมคือชาวพ่ายหรือไปร ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษาตระกูลออสโตร-เอเชียติก สาขาว้า-เรียง ดังมีร่องรอยหลักฐานซากวิหารและเจดีย์กระจายอยู่ทั่วไปทั้งบนภูเขาสูง ที่ดอนเชิงเขา บริเวณพื้นราบลุ่มน้ำปาย บางแห่งก่อสร้างด้วยหิน เช่น ในผืนป่าบริเวณใกล้น้ำตกเอิกเกอเต่อ ซึ่งเป็นต้นน้ำแม่ปิงน้อย บางแห่งมีการขุดคูเป็นร่องลึกบนภูเขาสูงชัน มีเจดีย์บนยอดเขา มีหลักฐานว่าเจ้าเมืองคนแรกคือ ขุนส่างปาย ในสมัยพระเจ้ามโหตรประเทศ พระราชาธิบดีเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ส่งเจ้าแก้วเมืองออกสำรวจชายแดน ได้พบว่าภูมิประเทศน่าสนใจ จึงแนะนำให้ขุนส่างปายย้ายเมืองมาตั้งฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปายเพราะเป็นที่ราบกว้างขวาง ผู้คนจึงเรียกเมืองใหม่ว่า "เวียงใต้" ส่วนเมืองเก่าเรียกว่า "เวียงเหนือ"
แม้ว่าอำเภอปายเป็นอำเภอที่อยู่ในดินแดนที่มีที่ตั้งเป็นภูเขาสูง แต่งานประเพณีวันลอยกระทงนั้นมีความคึกคัก บนความเรียบง่ายที่เสน่ห์ของเมืองแห่งนี้ครับ โดยปีนี้ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ให้งบประมาณในการจัดงานและสนับสนุนเงินให้กับหมู่บ้านต่างๆในการทำกระทงและจัดขบวน โดยมีขบวนแห่กระทงประมาณ 10 ขบวน แห่ไปตามถนนสายต่าง ๆ เขตเทศบาลตำบลปายและไปสิ้นสุดที่บริเวณเทศบาลตำบลปาย สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศอยู่ไม่น้อย และในกิจกรรมเวทีกลางแจ้งที่เทศบาลตำบลปาย ยังมีการแสดงต้อนรับนักท่องเที่ยว และมีการประกวดนางนพมาสที่เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ จากงานลอยกระทงที่จัดขึ้น ปรากฏว่านักท่องเที่ยวได้จองห้องพักในพื้นที่อำเภอปาย จำนวน 1,550 ห้องเต็มตั้งวันที่ 2 - 4 พฤศจิกายน 2552 เพื่อเดินทางเข้ามาเที่ยวเทศกาลลอยกระทงที่อำเภอปาย คาดว่ามีเงินสะพัดในช่วงเทศกาลลอยกระทงประมาณ 15 ล้านบาท
จากได้เที่ยววันลอยกระทงที่อำเภอปายที่ผ่านมาเป็นความประทับใจที่ไม่อาจลืมได้ ในรอยยิ้มและน้ำใจ ที่ยังหาได้ในดินแดนที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีผู้คนหลากหลายวัฒนธรรมถึงแม้วันลอยกระทงจะผ่านไปแล้ว ในช่วงหน้าหนาวนี้ปายยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งที่รอการมาเยือนของทุกคน และทำให้ผู้ที่มาเยือนนั้นทราบว่า คำว่า “เมืองในฝัน สวรรค์บนดอย” เหมาะที่จะเลือกอำเภอนี้อย่างแท้จริง